ประวัติความเป็นมาของ จ.เพชรบูรณ์
๏ สมัยสุโขทัย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงมีลายพระหัตถ์เกี่ยวกับเพชรบูรณ์ ว่า เดิมทีเดียวคงตั้งชื่อเป็นเมือง “เพชรบูร” ให้ใกล้กับ “เพชรบุรี” ซึ่งแปลว่า “เมืองแข็ง” แต่เกรงว่าจะเหมือนกันมากเกินไปจึงตั้งชื่อเป็น “เพชรบูรณ์” ซึ่งคาดว่าชื่อเมืองคงจะตั้งรุ่นเดียวกับเมืองพิษณุโลก คำว่า “เพชรบูรณ์” อาจมาจากคำว่า “พืช” ซึ่ง หมายถึงที่เกิดของพืชผลก็ได้ แม้ในอินเดียเองก็มีเมือง BIJPURE ซึ่งพอเทียบได้กับ “พืชบุระ” ส่วนชื่อเมืองเพชรบูรณ์เขียนเป็น 2 แบบ คือ เพชรบูรณ์ และ เพชรบูร ส่วน ชื่อใดจะผิดหรือถูกนั้น อาจจะพิจารณาจากศิลาจารึกสมัยกรุงสุโขทัย (หลัก ที่ 93) จากวัดอโศกการาม (พ.ศ.1949) ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งพาดพิงถึงเมือง เพชรบูรณ์ดังต่อไปนี้“รัฐมณฑลกว้างขวาง ทั้งปราศจากอันตรายและนำมาซึ่งความรุ่งเรือง รัฐสีมาของ พระราชาผู้ทรงบุญญาสมภาคพระองค์นั้น เป็นที่รู้จักกันอยู่ว่าในด้านทิศตะวัน ออก ทรงทำเมืองวัชชะปุระเป็นรัฐสีมา” จากศิลาจารึกหลักนี้แสดงให้เห็นถึงอาณาเขตของกรุงสุโขทัยในสมัยพระมหา ธรรมราชา ลิไท (พ.ศ.1911) เป็นอย่างดีโดยเฉพาะด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง สุโขทัย ได้แก่ “วัชชะบุระ” ดังนั้น ชื่อเมืองเพชรบูรณ์จึงน่าจะมาจากคำว่า “บุระ” หรือ “ปุระ” ซึ่งแปลว่าเมืองป้อม หอ วัง (ป) ส่วนคำว่า บูรณ์ มาจาก คำว่า “ปูรณ (ส)” แปลว่าเต็ม
นายมนตรี อมาตยกุล เขียนไว้ในเรื่อง สำรวจเมืองโบราณ ในอาณาจักรสุโขทัยตอน หนึ่งว่า ”เมืองเพชรบูรณ์นี้ ในสมัยสุโขทัย จะเรียกชื่อว่าเมืองอะไรยังไม่ สามารถค้นหลักฐานได้ มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเมืองราดก็ได้แต่ผมเห็นว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะต้องตรวจสอบค้นต่อไป
หลักฐานทางโบราณคดีซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า “เมืองเพชรบูรณ์” เป็นรัฐสีมา ของสุโขทัย ดังโบราณพระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือดอกบัวตูม ซึ่งเป็นพระ ประธานของวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ เช่นเดียวกับวัดมหาธาตุของเมือง สุโขทัย และเมืองอื่นๆ ซึ่งจัดเป็นพุทธสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยโดยแท้ และใน การขุดค้นเมืองโบราณคดีที่พระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือดอกบัววัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์ ของกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ.2510 ได้พบศิลปวัตถุมากมาย เช่น เครื่องสังคโลกของไทย และเครื่องถ้วยตุ๊กตาจีน
๏ สมัยกรุงศรีอยุธยา
เหตุผล ที่เรื่องราวของเมืองเพชรบูรณ์ได้เกี่ยวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พอจะยก เอาข้อความกล่าวได้ดังนี้ กฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ว่า ด้วยการเทียบศักดินาหนึ่งหมื่นได้แก่ตำแหน่งต่อไปนี้
ฝ่ายทหาร
1.เจ้าพระยาอุปราช (ตำแหน่งพิเศษ)
2.เจ้าพระยามหาเสนาบดี (สมุหกลาโหม)
3.พระยาศรีหราชเดโชชัย (ประจำกรุง)
4.พระยาท้ายน้ำ (ประจำกรุง)
5.พระยาสุรสีห์ (ประจำพิษณุโลก)
6.พระยาศรีธรรมราช (ประจำนครศรีธรรมราช)
7.พระยาเกษตรสงคราม (ประจำสังคโลก)
8.พระยาศรีธรรมาโศกราช (ประจำสุโขทัย)
9.พระยารามรณรงค์ (ประจำกำแพงเพชร)
10.พระยารัตน์สงคราม (ประจำเพชรบูรณ์)
11.พระยากำแหงสงคราม (ประจำราชสีมา)
12. พระยาไชยาธิบดี (ประจำตะนาวศรี)
แต่ เดิมในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เคยทำสัมพันธ์ไมตรี กับพระยาไชย เชษฐาธิราช แห่งนครเวียงจันทร์ เพราะเกรงว่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่า จะยกทัพมาตี ซึ่งต่อมาในปีจุลศักราช 930 ตรงกับสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ก็ เป็นจริงตามที่พระมหาจักรพรรดิทรงคาดการณ์ไว้ดังข้อความตอนหนึ่งว่า “พระไชย เชษฐายังมีโอกาสปฏิบัติตามสัญญาพันธมิตรที่ได้ให้ไว้ต่อกัน ณ เจดีย์ศรีสอง รัก คือ อีกห้าปีต่อมาในจุลศักราช 930 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาตีกรุง ศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ได้รบพุ่งกันเป็นเวลา 8 เดือน จนถึงเดือน เก้าจุลศักราช 930 มะเส็งศก จึงเสีย
กรุง ศรีอยุธยาให้แก่พม่า ทัพพระไชยเชษฐาจึงได้ส่งกองทัพมาช่วยทางด่านเมืองนคร ไทยเข้ามาทางเมืองเพชรบูรณ์จะลงมาทางเมืองสระบุรีเป็นทัพระหนาบ”
นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่กล่าวถึง เมืองเพชรบูรณ์ ดังต่อไปนี้
จุลศักราช 919 เดือน ยี่ ปีมะเส็ง นพศก (ราว พ.ศ.2100) พระยาระแวกเจ้าแผ่นดินเขมรยกกำลังพล ประมาณสามหมื่น รุกรานเข้ามาทางเมืองนครนายก สมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้ตรัส ปรึกษาในการศึกษาคราวนี้เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลาย ถวายความเห็นว่าคราวกรุง ศรีอยุธยาแตก เกรงว่าจะรับทัพเขมรป้องกันพระนครไว้ไม่ได้ ขอเชิญเสด็จประทัพ ที่เมืองพิษณุโลก ให้พ้นราชศัตรูก่อน สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ทรงมีบัญชาตาม จึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้ขุนเทพอรชุน ได้จัดเตรียมเรือพระที่ นั่ง และเรือประทับเทียบอพยพไปเมืองพิษณุโลก
ขณะ นั้นพระเพชรรัตน์เจ้าเมืองเพชรบูรณ์ มีความผิด ทรงพระกรุณาให้ออกจากเจ้า เมือง มีข่าวลือไปถึงกรุงศรีอยุธยาว่า พระเพชรรัตน์โกรธคิดช่องสุมคน คอยดักทางเพื่อจะปล้นทัพหลวงเมื่อเสด็จผ่านเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหา ธรรมราชา ทรงได้รับคำแนะนำจากขุนเทพอรชุนให้ต่อสู้กองทัพพระยาระแวกทรงเห็นชอบ ด้วย จึงกลับพระทัยไม่เสด็จไปเมืองพิษณุโลกและได้จัดทัพตีพระยาระแวกแตกไป
ใน สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชายังไม่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์ ตอนหนึ่งว่า “ครั้ง รุ่งขึ้นก็ยกทัพหลวงเสด็จไปเมืองกำแพงเพชร ตั้งประทับแรมอยู่ที่ตำบลหนอง ปิง 3 วัน แล้วยกไปทางเชียงทอง กุมตะเมาะ ขณะนั้นพระยากำแพงเพชรได้ส่งข่าวถวายว่าไทยใหญ่เวียงเสือต้น เกียกกาย มี ขุนปลัดมังทรางมังนวิวายหลวง กับนายม้าทั้งปวงอันอยู่ ณ เมือง กำแพงเพชร ได้พาครอบครัวอพยพหนีพม่า และมอญจึงยกทัพตามไปทันได้รบกันที่ตำบล หนองปิงใหญ่ ไทยใหญ่ทั้งปวงจึงยกไปทางเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระนเรศวร ทรง ทราบดังนั้นก็ให้ม้าเร็วไปบอกกับหลวงโกษา และลูกขุนอันอยู่รักษาเมือง พิษณุโลกว่าซึ่งไทยใหญ่หนีมานั้นเลือกจะเป็นเมืองอื่นให้แต่อายัดด่าน เพชรบูรณ์ เมืองนครไทยชาติตระการและรักษาให้มั่งคงไว้อย่าให้ไทยใหญ่ออกไป รอด หลวงโกษาและลูกขุนทั้งปวงตามรับสั่ง
เหตุผล ที่เรื่องราวของเมืองเพชรบูรณ์ได้เกี่ยวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พอจะยก เอาข้อความกล่าวได้ดังนี้ กฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ว่า ด้วยการเทียบศักดินาหนึ่งหมื่นได้แก่ตำแหน่งต่อไปนี้
ฝ่ายทหาร
1.เจ้าพระยาอุปราช (ตำแหน่งพิเศษ)
2.เจ้าพระยามหาเสนาบดี (สมุหกลาโหม)
3.พระยาศรีหราชเดโชชัย (ประจำกรุง)
4.พระยาท้ายน้ำ (ประจำกรุง)
5.พระยาสุรสีห์ (ประจำพิษณุโลก)
6.พระยาศรีธรรมราช (ประจำนครศรีธรรมราช)
7.พระยาเกษตรสงคราม (ประจำสังคโลก)
8.พระยาศรีธรรมาโศกราช (ประจำสุโขทัย)
9.พระยารามรณรงค์ (ประจำกำแพงเพชร)
10.พระยารัตน์สงคราม (ประจำเพชรบูรณ์)
11.พระยากำแหงสงคราม (ประจำราชสีมา)
12. พระยาไชยาธิบดี (ประจำตะนาวศรี)
แต่ เดิมในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เคยทำสัมพันธ์ไมตรี กับพระยาไชย เชษฐาธิราช แห่งนครเวียงจันทร์ เพราะเกรงว่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่า จะยกทัพมาตี ซึ่งต่อมาในปีจุลศักราช 930 ตรงกับสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ก็ เป็นจริงตามที่พระมหาจักรพรรดิทรงคาดการณ์ไว้ดังข้อความตอนหนึ่งว่า “พระไชย เชษฐายังมีโอกาสปฏิบัติตามสัญญาพันธมิตรที่ได้ให้ไว้ต่อกัน ณ เจดีย์ศรีสอง รัก คือ อีกห้าปีต่อมาในจุลศักราช 930 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาตีกรุง ศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ได้รบพุ่งกันเป็นเวลา 8 เดือน จนถึงเดือน เก้าจุลศักราช 930 มะเส็งศก จึงเสีย
กรุง ศรีอยุธยาให้แก่พม่า ทัพพระไชยเชษฐาจึงได้ส่งกองทัพมาช่วยทางด่านเมืองนคร ไทยเข้ามาทางเมืองเพชรบูรณ์จะลงมาทางเมืองสระบุรีเป็นทัพระหนาบ”
นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่กล่าวถึง เมืองเพชรบูรณ์ ดังต่อไปนี้
จุลศักราช 919 เดือน ยี่ ปีมะเส็ง นพศก (ราว พ.ศ.2100) พระยาระแวกเจ้าแผ่นดินเขมรยกกำลังพล ประมาณสามหมื่น รุกรานเข้ามาทางเมืองนครนายก สมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้ตรัส ปรึกษาในการศึกษาคราวนี้เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลาย ถวายความเห็นว่าคราวกรุง ศรีอยุธยาแตก เกรงว่าจะรับทัพเขมรป้องกันพระนครไว้ไม่ได้ ขอเชิญเสด็จประทัพ ที่เมืองพิษณุโลก ให้พ้นราชศัตรูก่อน สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ทรงมีบัญชาตาม จึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้ขุนเทพอรชุน ได้จัดเตรียมเรือพระที่ นั่ง และเรือประทับเทียบอพยพไปเมืองพิษณุโลก
ขณะ นั้นพระเพชรรัตน์เจ้าเมืองเพชรบูรณ์ มีความผิด ทรงพระกรุณาให้ออกจากเจ้า เมือง มีข่าวลือไปถึงกรุงศรีอยุธยาว่า พระเพชรรัตน์โกรธคิดช่องสุมคน คอยดักทางเพื่อจะปล้นทัพหลวงเมื่อเสด็จผ่านเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหา ธรรมราชา ทรงได้รับคำแนะนำจากขุนเทพอรชุนให้ต่อสู้กองทัพพระยาระแวกทรงเห็นชอบ ด้วย จึงกลับพระทัยไม่เสด็จไปเมืองพิษณุโลกและได้จัดทัพตีพระยาระแวกแตกไป
ใน สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชายังไม่กล่าวถึงเมืองเพชรบูรณ์ ตอนหนึ่งว่า “ครั้ง รุ่งขึ้นก็ยกทัพหลวงเสด็จไปเมืองกำแพงเพชร ตั้งประทับแรมอยู่ที่ตำบลหนอง ปิง 3 วัน แล้วยกไปทางเชียงทอง กุมตะเมาะ ขณะนั้นพระยากำแพงเพชรได้ส่งข่าวถวายว่าไทยใหญ่เวียงเสือต้น เกียกกาย มี ขุนปลัดมังทรางมังนวิวายหลวง กับนายม้าทั้งปวงอันอยู่ ณ เมือง กำแพงเพชร ได้พาครอบครัวอพยพหนีพม่า และมอญจึงยกทัพตามไปทันได้รบกันที่ตำบล หนองปิงใหญ่ ไทยใหญ่ทั้งปวงจึงยกไปทางเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระนเรศวร ทรง ทราบดังนั้นก็ให้ม้าเร็วไปบอกกับหลวงโกษา และลูกขุนอันอยู่รักษาเมือง พิษณุโลกว่าซึ่งไทยใหญ่หนีมานั้นเลือกจะเป็นเมืองอื่นให้แต่อายัดด่าน เพชรบูรณ์ เมืองนครไทยชาติตระการและรักษาให้มั่งคงไว้อย่าให้ไทยใหญ่ออกไป รอด หลวงโกษาและลูกขุนทั้งปวงตามรับสั่ง
๏ สมัยกรุงธนบุรี
จุลศักราช 1007 เดือน สี่ (ตรงกับ พ.ศ.2218) เจ้าพระยาจักรี (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เจ้า พระยาสุรสีห์ (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท) ได้นำกองทัพตีแตกทัพอแซหวุ่น กี้ (พม่า) ที่ล้อมเมืองพิษณุโลกมาได้และมาชุมนุมพักทัพที่เมืองเพชรบูรณ์
หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตรที่กล่าวถึงเมือง เพชรบูรณ์จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์มีกล่าวถึงต่อไปนี้
จุลศักราช 1007 เดือน สี่ (ตรงกับ พ.ศ.2218) เจ้าพระยาจักรี (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เจ้า พระยาสุรสีห์ (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท) ได้นำกองทัพตีแตกทัพอแซหวุ่น กี้ (พม่า) ที่ล้อมเมืองพิษณุโลกมาได้และมาชุมนุมพักทัพที่เมืองเพชรบูรณ์
หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตรที่กล่าวถึงเมือง เพชรบูรณ์จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์มีกล่าวถึงต่อไปนี้
๏ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
มีข้อความในหนังสือนิทานโบราณคดี พระนิพนธ์สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าว ถึงเมืองศรีเทพและเพชรบูรณ์ “ฉันไปถามมณฑลเพชรบูรณ์นั้นมีกิจอย่างหนึ่งที่ จะสืบเมืองโบราณด้วย ด้วยเมื่อแรกฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่มีใคร รู้เมืองศรีเทพอยู่ที่ไหน ต่อมาฉันพบสมุดดำอีกเล่มหนึ่งเป็นต้นร่าง กะทาง ให้คนเชิญตราไปบอกข่าวสิ้นรัชกาลที่ 2 ตามหัวเมือง เป็นทางๆ ให้คนหนึ่งเชิญ ตราไปบอกข่าว”เมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์สำหรับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีชื่อเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ด้วยดังนี้
เมืองวิเชียรบุรี - พระยาประเสริฐสงคราม ประเทศราไชอภัย พีรียทาห แปลงเป็นพระยาเลิศ
สงคราม เขต ประเทศราไชยอภัย พีรียทาห
เมืองเพชรบูรณ์ - พระเพชรพิชัยปลัดแปลงว่า พระเพชรพีรียทาหปลัด
หลักฐานอันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองเพชรบูรณ์ที่ปรากฏชัดแจ้งมาก เป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์นิทาน โบราณคดีของสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่องความไข้ที่เพชรบูรณ์ ดังนี้
“หัว เมืองที่ขึ้นชื่อลือเรื่องว่ามีไข้มาลาเรียร้ายกาจแต่ก่อนมามีหลาย เมือง เช่น เมืองกำแพงเพชรและเมืองกำเนิดนพคุณคือ บางตะพาน เป็นต้นที่ ไหนๆ คนไม่ครั่นคร้ามเท่าความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ดูเป็นที่เข้าใจกันทั่วไป ว่า ถ้าใครไปเมืองเพชรบูรณ์เหมือนเข้าหาสู่ความตาย จึงไม่มีข่าวกรุงเทพฯ หรือชาวเมืองอื่นๆ พอใจจะไปเมืองเพชรบูรณ์มาช้านาน แม้ในการปกครองรัฐบาลก็ต้องเลือกหาคนในท้อง ถิ่นที่ตั้งมาเป็นเจ้าเมืองกรมการ เพราะเหตุนี้คนกลัวความไข้เมื่อแรกฉัน เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยก็ต้องปล่อยให้เมืองเพชรบูรณ์กับเมืองอื่นๆ ใน ลุ่มแม่น้ำป่าสักทางฝ่ายเหนือคือ เมืองหล่มสักและเมืองวิเชียรเป็นอยู่อย่าง เดิมมาหลายปี เพราะจะรวมเมืองเหล่านั้นเข้ากับมณฑลพิษณุโลกหรือ มณฑลราช สีมา มีเขตติดต่อกันก็มีเทือกเขากั้น สมุหเทศาภิบาล จะไปตรวจตราลำบากทั้ง สองทาง อีกประการหนึ่งเมื่อแรกฉันจัดการปกครองหัวเมืองมณฑลต่างๆ ของคนออกไปรับราชการ ฉันยังหาส่งไปให้ไม่ทันเมืองทางลำน้ำป่าสักมีเมือง เพชรบูรณ์ เป็นต้น ไม่มีใครสมัครไปด้วย กลัวความไข้ ดังกล่าวมาแล้วต้องรอมา ”
สมเด็จ พระยาดำรงราชานุภาพ ทรงคิดอุบายที่จะระงับความกลัวไข้ เมืองเพชรบูรณ์ได้ทรง กล่าวว่าเห็นว่าตัวฉันต้องขึ้นไปเมืองเพชรบูรณ์เองได้ปรากฏเสียสักครั้ง หนึ่งคนจึงจะหายกลัว ชักชวนก็ง่ายขึ้นด้วยอาจจะต้องอ้างตัวอย่างว่า แม้ตัว ฉันก็ได้ไปแล้ว พระยาเพชรรัตน์ชอบใจว่า ถ้าฉันไปคนก็เห็นจะหายกลัวได้ จริง พอข่าวปรากฏว่าฉันเตรียมตัวไปเมืองเพชรบูรณ์ ก็มีพวกพ้องพากันมาให้ พร คล้ายกับส่งไปทัพบ้างมาห้ามปรามบ้าง โดยเมตตาปราณีด้วยเห็นว่าไม่พอที่ ฉันจะเสี่ยงภัยบ้าง แต่ส่วนพระองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนั้นทรงพระราชดำริ เห็นชอบด้วย ตั้งแต่ฉันกราบทูลความคิดที่จะไปมณฑลเพชรบูรณ์ตรัสว่า ไปเถิด อย่ากลัว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ของเราท่านก็เสด็จไปแล้ว
“ฉัน ไปเมืองเพชรบูรณ์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ท้องที่มณฑลเพชรบูรณ์บอกแผนที่ ไม่ยาก ถือลำน้ำป่าสักเป็นแนวตั้งแต่เหนือมาใต้ มีภูเขาสูงเป็นเทือกลงมาตาม แนวลำน้ำทั้งสองฟาก เทือกเขาทางด้านตะวันออกเป็นเทือกเขาปันน้ำต่อแดนมณฑล นครราชสีมา เทือกเขาตะวันตกเป็นเขาต่อแดนมณฑลพิษณุโลก เทือกเขาทั้งสองข้าง นั้นบางแห่งก็ห่าง บางแห่งก็ใกล้แม่น้ำป่าสัก เมืองหล่มสักอยู่ที่สุดลำน้ำ ทางข้างเหนือ แต่ลงมาถึงเมืองเพชรบูรณ์ ทำเลเมืองเพชรบูรณ์พ้นที่ลุ่มขึ้นไป เป็นที่ราบทำนาได้ผลดี เมืองเพชรบูรณ์จึงสมบูรณ์ด้วยกสิกรรมจนถึงชาวเมืองทำ นาปีหนึ่งได้ข้าวพอกันกิน สิ่งซึ่งเป็นสินค้าชาวเพชรบูรณ์คือ ยาสูบเพราะรสดีกว่ายาสูบที่อื่นทั้งหมดในเมืองไทย”
หลังจากที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์ และ เสด็จกลับกรุงเทพฯทรงอ้างหลักฐานยืนยันที่จะระงับความกลัวไข้ที่เมือง เพชรบูรณ์ไว้ใน เรื่องความไข้ที่เมืองเพชรบูรณ์ พอรุ่งขึ้นฉันก็ไปเฝ้า วัน นั้นมีพระราชพิธีเสด็จออกจากพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัยเจ้านาย และข้า ราชการเข้าเฝ้าอยู่พร้อมกันเมื่อเสร็จพิธีสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราช ดำเนิน มายังที่ฉันยืนเฝ้าอยู่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระหัตถ์มาจับ มือฉันดำรัสว่า ท่านยินดีที่ฉันไปถึงเมืองเพชรบูรณ์แล้วตรัสถามว่ามีใครไปเจ็บไข้บ้างหรือ ไม่ ฉันกราบทูลว่า ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ หามีใครเจ็บไข้ไม่แล้วจึงเสด็จ ขึ้นฉันรู้สึกว่าได้พระราชทานบำเหน็จพิเศษคุ้มค่าเหนื่อย ว่าถึงประโยชน์ได้ ไปครั้งนั้นก็ได้สมประสงค์ เพราะแต่นั้นมาก็หาคนไปรับราชการในมณฑลเพชรบูรณ์ ได้ไม่ยาก
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าเป็นมณฑลในปี พ.ศ.2436 และในปี พ.ศ.2440 ได้ยกฐานะเมืองเพชรบูรณ์ขึ้น เป็นมณฑลเพชรบูรณ์ให้มีผู้ว่าราชการเมืองเพชรบูรณ์ดำรงตำแหน่ง สมุห เทศาภิบาล ยกฐานะอำเภอหล่มสักขึ้นเป็นจังหวัดหล่มสัก ในพ.ศ.2447 ยุบมณฑลไป ขึ้นมณฑลพิษณุโลก เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เพราะการติดต่อ ลำบาก ต่อมาในปี พ.ศ.2450 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีก เป็นครั้งที่สอง จนกระทั่งถึง พ.ศ.2458 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระ มงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ให้ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ไปขึ้นกับมณฑล พิษณุโลกจึงมีฐานะเป็นเมืองเพชรบูรณ์ตามเดิม และต่อมาได้มีการยกเลิกมณฑลต่างๆ เมื่อได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475 เป็นต้นมา
ส่วน เหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดเพชรบูรณ์ก็คือ เมื่อ ปลายปี พ.ศ.2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ภายหลัง ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว มีพระราชพิธีราชาภิเษกทรงรับน้ำจากสระ มนต์ (ปัจจุบันถมเต็มหมด) ในวัดมหาธาตุไปร่วมในพระราชพิธีเรื่องนี้ นาย ทอง ไกรโชคเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมไปในขบวนส่งน้ำด้วย
๏ นครบาลเพชรบูรณ์
ใน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามมหาเอเชียบูรพา ประเทศไทยกำลังอยู่ใน ภาวะคับขันกรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ฝ่าย ตรงข้ามมุ่งโจมตีจนผู้คนต้องอพยพออกต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก รัฐบาลสมัยนั้น มี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีจอมพล ป.พิจารณาเห็นว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนั้นทำให้กรุงเทพฯล่อแหลมต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้น จากศัตรู ควรจะได้ทีการโยกย้ายเมืองหลวงของไทยไปอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย เพื่อเป็นการฟื้นฟูสถาบันศาสนาให้พัฒนาปลุกคนไทยให้เกิดชาตินิยมมีความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จอมพล ป. มองเห็นการณ์ไกล ต้องแยกศูนย์ราชการ ศูนย์การค้าออกจากกัน เหมือนกับสหรัฐอเมริกาที่แยกเมืองหลวงใหญ่ คือ วอชิงตัน D.C. ขึ้นแทน ใช้ กรุงนิวยอร์คเป็นเมืองท่า เพราะอยู่ติดทะเล และเห็นว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ ชัยภูมิเหมาะสม เพราะมีภูเขาล้อมรอบมาทางออกทางเดียว ศัตรูรุกรานได้ยาก ดังนั้นคณะ รัฐมนตรี อันมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีจึงได้ยกร่างพระราช กำหนดสร้างนครบาลขึ้นและย้ายสถานที่ราชการส่วนกลางมาตั้งที่จังหวัด เพชรบูรณ์ พระราชกำหนดนครบาลใหม่นี้ชื่อ “พระราชกำหนดระเบียบการบริหาร นครบาลเพชรบูรณ์ พ.ศ.2478”ใน การบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ครั้งนั้น จึงให้มีคณะกรรมการนครบาลเมืองเพชรบูรณ์ สังกัดกระทรวงมหาดไทย รองข้าหลวงนครบาลกับหัวหน้าที่ตามกฎหมาย และมีอำนาจ ของอธิบดีตามกฎหมายด้วยเมื่อ ข่าวการตราพระราชกำหนดนครบาลเพชรบูรณ์แพร่หลายออกไปสร้างความดีใจให้แก่ชาว เพชรบูรณ์อย่างมากจนคนในสมัยนั้นพากันยกย่องชมเชยว่าจังหวัด เพชรบูรณ์ คือ สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย หน่วยราชการต่างๆ จากส่วนกลางก็ได้ ขยับขยายจัดตั้งหน่วยทำการแต่ พอพระราชกำหนดนี้นำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอความเห็นชอบ ปรากฏว่าฝ่าย รัฐบาลแพ้เสียงข้างมาก เพราะสภาผู้แทนราษฎรสมัยนั้น เห็นว่าเป็นการสิ้น เปลืองโดยเปล่าประโยชน์กับทั้งทำให้ประชาชนที่รัฐบาลเกณฑ์มาสร้างถนน สาย ตะพานหิน – เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นทางออกทางเดียวต้องเสียชีวิตมากมาย จึงลงมติไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีในที่สุด จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง เมื่อ วันที่ 24 กรกฏาคม พ.ศ.2487 นครบาลเพชรบูรณ์เป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 2 ยุติลง หน่วยราชการต่างๆ ก็ย้ายยกกลับเข้ากรุงเทพฯเช่นเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น